Posted in สัพเพเหระ

เมื่อลูก (ทีม) น้อยใจ

มอร์นิ่งเด็กๆ ตอนเป็นเด็กเคยคิดไหมว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน (สำหรับคนที่มีพี่น้อง) :mrgreen:

ที่จริงแล้ว พ่อแม่รักลูกเท่ากัน เพียงแต่รักลูกไม่เหมือนกัน ลูกบางคนป่วยบ่อย บางคนแข็งแรง บางคนขี้อ้อน บางคนขี้รำคาญ บางคนอ่อนโยน บางคนห้าว พ่อแม่ก็ต้องปรับตัวแตกต่างกันไป แต่ยังอยู่บนพื้นฐานของความรักลูกที่เท่ากัน 😄

พี่เคยบอกว่า ทีมเราดีมากและพี่ก็ภูมิใจในตัวน้องทุกคน ทุกคนมีจุดเด่นและจุดที่ต้องเสริมที่แตกต่างกัน แต่เมื่อนำมารวมกันแล้ว เป็นทีมที่ดีมากจริงๆ

นิ้วมือ 5 นิ้ว ถ้ายาวเท่ากันก็ใช้ได้ไม่ถนัด ความต่างที่ลงตัวเท่านั้นถึงจะเหมาะ

งานแต่ละโครงการ เหมือนวงดนตรีที่เล่นแต่ละเพลง ต้องมีสลับนักร้องบ้างในบางครั้ง คนร้องเพลงซึ้ง ไม่ได้ด้อยกว่าคนร้องเพลงร้อค คนไม่เคยได้ร้อง ได้แต่ทำจังหวะ ใช่ว่าจะขาดไปได้ 😉

อย่าเปรียบเทียบเลย งานบางชิ้นต้องการความเร็ว บางชิ้นต้องการความละเอียด บางชิ้นต้องการเนื้อหาครบถ้วน ในขณะที่บางชิ้นต้องการไอเดียบรรเจิด

ทุกสัปดาห์ที่ผ่านไป พี่ภูมิใจเสมอกับผลงานของทีม เรามาถูกทางแล้ว ท้อได้ แต่อย่าถอย

image

รักทุกคนนะ

Posted in สัพเพเหระ

N o D r a m a

ไม่ได้เขียนบล้อกนานมาก ทั้งๆ ที่มีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะ แต่บางเรื่องก็คิดว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะเขียน

ย้ายบริษัทมาได้ 1 เดือน ยอมรับความดราม่าของที่นี่จริงๆ ตั้งแต่เคยอยู่มาหลายบริษัท ไม่มีที่ไหนดราม่าเท่า

เชื่อว่า ทุกที่ก็มีเรื่องแบบนี้ แต่ skill และ mixture น่าจะต่าง บริษัทฝรั่งที่เคยอยู่ ก็เคยมีประสบการณ์ดราม่าหนักมาก อันนั้น คือ ใช้จินตนาการขั้นสูง แบบไม่มีเรื่องจริงเลย แต่สร้างพล้อตเรื่องขึ้นมาเป็นฉากๆ นับถือนางจริงๆ

บริษัทไทยโบ ก็เป็นเรื่องโยนขี้ ป้ายสีใส่กัน แบบที่พอมีคนลาออก ก็โทษทุกอย่างมาที่คนนั้น บางคนไม่เคยคุยด้วยเลย ก็เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเราได้ นี่ก็ประทับใจ

พอมาที่นี่ ยังไม่ทันเริ่มงานเลย ก็มีคนเช็กข่าวเราซะเต็มตลาด เช็กกับใครเค้าก็มาบอกเรา ก็ขำๆ ดี จะเช้กเพื่อ? เข้ามาวันแรก เล่าประวัติเลย อยากรู้อะไรถามเอา ไม่ต้องไปถามคนอื่น

พอเข้ามา ก็พบว่า นี่คือโรงละครชั้นดี มีนักแสดงตัวเอกแค่ไม่กี่ตัว แต่ผู้กำกับน่าจะมีเยอะพอสมควร ความอเมสซิ่งของที่นี่ ที่ไม่มีโรงละครใดเหมือน คือ เริ่มแรก จะมีละครฉากนึงก่อน มีตัวแสดง มีบท พอจบตอน ไฟปิด เปิดไฟขึ้นอีกครั้ง เราจะเจอฉากเดิม นักแสดงเดิม แต่บทเปลี่ยน แบบขาวกับดำ..และขอโทษนะ ไม่ได้เกี่ยวกับตูเลยสักนิด แต่ต้องมาดูละคร 2 ฉาก ที่สรุปเราก็ไม่รู้ว่าฉากไหนสร้างจากเรื่องจริง มันทำให้เราปวดหัวนะ ปวดหัวว่า แล้วชั้นจะเชื่อใคร

แล้วเรื่องบอกต่อนี่เยอะมาก คนนั้นพูดว่า คนนี้พูดว่า..วุ้ยยย ว่างเนอะ

จนต้องบอกน้องในทีมว่า
ข้อที่ 1 ถ้ารับฟังอะไรที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ต้องไปเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง
ข้อที่ 2 แม้ว่าเราจะอยู่ในเหตุการณ์ เห็นคนนี้ทำกับคนนั้นจริงๆ จะๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่า ก่อนหน้านี้คนที่ถูกกระทำในวันนี้ เคยไปทำคนนั้นมาก่อนรึเปล่า
ข้อที่ 3 แล้วถ้าดันมีเหตุการณ์ที่โดนกับตัวเอง ให้มองที่เนื้อหาของมัน มุ่งไปที่เรื่องงานเป็นหลัก โทนเสียง สีหน้าไม่ต้องไปสนใจ
ข้อสุดท้าย ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน แต่โดนเหวี่ยงไม่มีสาเหตุ ก็ให้คิดซะว่า มันคงเป็น bad day ของเค้า อาจมีอะไรกระทบอารมณ์เค้าอยู่ก็ได้ หรืออาจเป็นสาวช่วงนั้นพอดี ก็เลยหงุดหงิด เราเองยังมีวัน bad day เลยนะ

ขนาดเราคิดได้ขนาดนี้ วันไหนหลงไปดูละคร 2 ฉาก กลับมาบ้านก็ประสาทแดรก เหมือนกันนะคะ
ยอมรับเลย กินยาแก้เครียดบ่อยมาก แต่พอผ่านไปสักคืน ชีวิตก็กลับมาดี๊ดีอีกครั้ง..

คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในสังคมนะ แต่ก็คิดอีกแหล่ะว่า เราควรรณรงค์ งดดราม่าในที่ทำงาน
น่าจะดี ผลผลิตต่อหัวคงดีกว่านี้ 55555…
มันกำมาก

image

Posted in สัพเพเหระ

เรื่องของมึง เรื่องของกู….ตูไม่เกี่ยวปล่าวว้า

วันนี้มีเหตุการณ์มุมแดงมุมน้ำเงินระหว่างน้องในทีม 2 คน คนนึงอยู่มุมแดง อีกคนอยู่มุมน้ำเงิน ข้างๆ คน 2 คนมีพวกพ้องที่ฟัง คิด สนับสนุน เชียร์อยู่ด้วย

หลังจาก 2 คนชกกันเสร็จ พี่ก็อยากจะเห็นใจ แต่เอาจริงๆ พี่แอบสะใจปนขำเล็กๆ เพราะอะไรรู้ไหม..เพราะพี่เคยบอกทั้ง 2 ฝั่งมาแล้ว ว่าการคุยกันมันยังมีแก๊ป มันยังมีช่องว่าง ทั้งๆ ที่ 80% เป็นเรื่องเล็กเท่าขี้มด แต่พอสาดใส่กัน คนนึงเสียงดัง อีกคนตะโกนทับ คนนึงตะคอก อีกคนกระแทกกลับ สรุป..ฟัดกันแทบตาย เจ็บสาหัสทั้งคู่ ไม่ได้อะไรเลย..สุดท้าย งานก็ต้องทำ ปัญหาก็ต้องแก้ (ที่ผิด คือ แก้เป็นงานๆ ไป ไม่แก้ที่ต้นเหตุ ทำให้ต้องแก้ซ้ำซาก..555 ขอใช้คำนี้)

น้อง 2 คน วันนี้เลือกที่จะไม่มาหาพี่ ทั้งๆ ที่บอกไว้แล้วว่า คุยไม่รู้เรื่องปุ๊บ ส่งไม้ต่อมา พี่จะเคลียร์ให้..แต่เอาวะ..เพื่อความสะใจ กูโทรไปด่ามึง..แหม มึงก็โทรมาได้จังหวะ…กูขอด่ากลับหน่อยละกัน..พี่ก็ปล่อยสิคะ..ด่ากันบันเทิงไปเลย..ข้างๆ หูผึ่ง..ด่าๆๆๆๆๆ
จบ! โมโหแมร่ง กระแทกหูใส่..แล้วอารมณ์ก็เสียทั้งคู่ คนนึงเดินไปด่าไป อีกคนนั่งหน้าหงิกที่โต๊ะ..พี่ละขำ อยากจิสมน้ำหน้า เอ้ย อยากเอากระจกเรื่องนี้มาส่องให้ดูอารมณ์ของตัว ก่อนและหลังด่ากัน ว่ามันดีขึ้นหรือมันแย่ลง..แต่นี่คือสิ่งที่น้องเลือกเองนะ..ต่อให้พี่ตะโกนห้าม น้องก็ไม่หยุด..ก็เอาเลย..กัด เอ้ย ด่ากันไปเลย พี่สอนทีเดียวตอนจบนะ

เรามามองมุมแดงกันบ้าง (อยากให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา) มุมแดงบอก “พี่ ใบเตือนต่ออายุ ออกทุนไปสูง ล้านกว่าบาท  ลูกค้าแจ้งต่อตามใบเตือน พอคีย์งานระบบออกทุนต่ำมา ลูกค้าไม่ยอม พอเค้า/มุมน้ำเงิน ให้ทุนเพิ่มสุดๆ ได้ 890,000 หนูโทรคุยกับลูกค้า ยังไงก็ไม่ยอม งานวีไอพีด้วยพี่ เค้าขู่จะฟ้องผู้บริหาร”

แล้วงัยต่อ “หนูเลยให้พี่อีกคน โทรไปคุยกับเค้า/มุมน้ำเงิน ขอจบที่ 900,000 ตามที่ลูกค้าขอ พี่คนนั้นบอกว่า เค้า/มุมน้ำเงิน ให้ทำเรื่องมาเลย เดี๋ยวอนุมัติให้” แล้ว …”พอหนูออกสลักหลังไป เค้า/มุมน้ำเงิน มาว่า ว่าผิดขั้นตอน เชื่อใจไม่ได้ประมาณนี้”..ในใจคงคิด กรูผิดอะไร 555

ต่อที่มุมน้ำเงิน “หนูอนุมัติทุนให้แล้ว 890,000 แล้วอยู่ดีๆ ก็ส่งงานผ่านระบบมา 900,000 อันนี้ คืออะไร ถ้าคุยกับลูกค้าแล้วไม่ได้ จะเป็น 900,000 ก็ต้องส่งเมลมา ไม่ใช่ส่งผ่านระบบมาแบบนี้ ถ้าพวกหนูไม่ตรวจสอบ เท่ากับอนุมัติงานไปผิดๆ แบบนี้เชื่อใจกันได้เหรอ?”

เป้ง! พัก ยกที่ 1

อะไรหายไปเอ่ย?

ท่อนที่บอกว่า “หนูเลยให้พี่อีกคน โทรไปคุยกับเค้า/มุมน้ำเงิน ขอจบที่ 900,000 ตามที่ลูกค้าขอ พี่คนนั้นบอกว่า เค้า/มุมน้ำเงิน ให้ทำเรื่องมาเลย เดี๋ยวอนุมัติให้”

งัยคะ 😉

อันนี้พูดยาก เพราะมี “พี่อีกคน” เข้ามาเกี่ยวละ มาเป็นตัวแปรเพิ่ม แล้วแถมตอนจบ “พี่อีกคน” กับ เค้า/มุมน้ำเงิน ยืนคนละจุดซะด้วย คนนึงบอก คุยแล้ว อีกคนบอก ไม่ได้คุย..5555 ไม่เป็นไร เรามาต่อกัน

พี่เลยถามย้ำมุมน้ำเงินกลับไปว่า มีพี่อีกคนโทรมาคุยหรือเปล่า มุมน้ำเงินตอบว่า “พี่ ถ้าโทรมาคุยจริง หนูก็ต้องบอกว่า ให้ทำเรื่องมา”

เป้ง! พัก ยกที่ 2

มีอะไรเหมือนกันเอ่ย?

“ทำเรื่อง” งัยคะ

มุมแดง มองว่า มันคือ การออกสลักหลังผ่านระบบมาโลด

มุมน้ำเงิน มองว่า ไม่ใช่โฟ้ย ทำอีเมลมาก่อนจะได้เก็บเป็นเอกสารอ้างอิง (อันนี้ คิดในใจ)

วุ้ย..ละทำไม ไม่สื่อกันชัดๆ ว่าจะให้ทำอะไร จะได้เข้าใจตรงกัน..รึถ้าสื่อมา ไม่แน่ใจ ก็ถามย้ำไปว่า ให้ทำนี่ๆ ใช่ไหม เนะ จะได้ไม่คิดกันไปคนละแบบ 😉

เป้ง! พัก ยกที่ 3

สรุปเลยละกัน เรื่องของเรื่องไม่ได้มีอะไร มุมน้ำเงินแค่ขออีเมลฉบับนึงมาก่อน ทีหลังอย่าทำผ่านระบบไม่ตรงกับที่คุยกันไว้ จบ

แต่ที่มันเป็นเรื่อง เพราะอะไรคะ??

คำพูดของมุมแดง “แล้วระบบผิดเธอจะไม่ช่วยรับผิดชอบเลยเหรอ?” “ลูกค้าไม่ยอม ลูกค้าด่า แค่ 10,000 เดียว แค่นี้ไม่ได้เหรอ?”

ทีนี้มามองมุมน้ำเงินบ้าง “พี่ ใบเตือนผิดเป็นปัญหาซ้ำซาก ทั้งประชุม ทั้งพูด ทั้งส่งเมล ว่ามันผิดเพราะตอนออกกรมธรรม์ปีแรก น้องคนเดิมใส่ code งานผิดกลุ่ม ทำให้ทุนไม่เคยปรับลดจากปีแรก ให้ทางไอทีแก้ระบบให้แล้ว และบอกว่า งานที่มี code กลุ่มนี้ ต้องตรวจอีกรอบ ก่อนส่งใบเตือน ไม่ใช่ไม่ตรวจแล้วส่งออกไป”…

พูดแล้ว พูดอีก ส่งแล้ว ส่งอีก…อืมม
พี่ว่า ปัญหาอยู่ที่การสื่อสาร..การสื่อสารง่ายๆ มี 2 ทาง มีผู้รับสาร และผู้ส่งสาร..จะสื่อสารให้ดี คือ สื่อแล้วสารต้องไปถึง ถึงแล้วต้องเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ..ปัญหาอยู่ที่ตัวเราสื่อออกไปไม่ถึง หรืออยู่ที่คนรับสาร ที่รับไปแล้วแต่ไม่เข้าใจ หรือหนักกว่านั้น คือสารนั้น ไม่เคยไปถึงเลย..กรรม

ถ้าเป็นพี่ พี่จะคิดวิธีสื่อสารใหม่ เลือกสารใหม่ เลือกคนรับใหม่..ทำอย่างไรก็ได้ ให้สารนั้นไปถึง..ไม่ใช่นั่งบ่นทุกวันๆ ว่าสื่อแล้วๆๆ 5555 สื่อละไม่สำเร็จ พี่ไม่นับแต้มให้นะ

ส่วนคนรับสาร..เมื่อรับสารมาแล้วไม่เข้าใจ ก็ต้องหาทางทำให้เข้าใจ รับเองไม่เข้าใจ ถามกลับไปที่คนส่งสารไหม หรือมีใครช่วยอธิบายชั้นได้ไหม..หรือ ถ้าไม่เคยรับสารนั้นเลย แต่โดนบ่นตลอดทุกครั้ง หงุดหงิดใส่ทุกหน..ถามกลับเลยไหม มีอะไรให้เราปรับแก้รึเปล่า..ถามไปแบบงงๆ นี่หล่ะ

แต่เท่าที่ฟังจากที่มุมแดงถาม เหมือนเธอจะไม่เคยทราบเบื้องหลังอันนี้มาก่อนนะ

ทีนี้ มาฟังคำพูดของมุมน้ำเงินบ้าง “เธออ่านเมลบ้างรึเปล่า เขียนคุยกันไปตั้งเยอะ อ่านเข้าใจไหม?” “ทำงานแบบนี้ จะเชื่อใจกันได้ไหม?”

เจอใครว่าอย่างนี้ เป็นเราๆ ก็รู้สึกแย่เนอะ 5555

เอาน่า ข้อดีอย่างนึงคือ น้องๆ พยายามอย่างดีที่สุด ในการแก้ปัญหา เพื่อความพึงพอใจของลูกค้า

แต่พี่อยากให้น้องออกจากมุมของตัวเอง แล้วลองเดินไปอยู่ในจุดของอีกฝ่ายนึงบ้าง
ถ้าเราเข้าใจว่า มุมน้ำเงินจะอนุมัติงานได้ต้องมีเหตุผลประกอบ เราจะต้องส่งอีเมลพร้อมเหตุผลประกอบ ที่ไม่ใช่ คำพูดที่ว่า เป็นวีไอพี และ ลูกค้าไม่ยอม

ถ้าเราเข้าใจมุมแดงว่า โดนลูกค้ากดดัน เพราะเอกสารที่ออกให้ลูกค้าไม่ตรงกับสิ่งที่ระบบบันทึก และเมื่อลูกค้าขออีก 10,000 บาทอันนี้ เราพิจารณาให้ได้ไหม..ถ้าเธอไม่ส่งเมลมา ชั้นส่งไปยืนยันให้เธอแทนได้ไหม

และสุดท้าย..ทุกวันนี้ เราเครียดกันจะแย่ งานเยอะกันจะตาย..อยู่ละ..เราก็คนทำงานเหมือนกัน งานมีปัญหา เราก็ต้องแก้ไขเหมือนกัน..อย่างนั้น เรามาช่วยกันแก้ไขดีไหม? 🙂

ถ้าเปลี่ยนบทสนทนาวันนี้ ให้สั้นเข้า

เป็น “ใบเตือนผิดเพราะอะไรเหรอ เราจะแก้กันยังงัยได้บ้าง?”

เป็น “ลูกค้าไม่ยอมเหรอ เธอส่งเมลมาอีกทีได้ไหม?”

พี่ว่า น้องทั้ง 2 คน คงไม่สาดใส่กันแล้วเจ็บ (ใจ) ทั้งคู่ขนาดนี้นะ..ดึกแล้ว น้องคงนอนหลับ หลังจากพ่นๆๆ ให้คนใกล้ชิดฟัง 5555 แต่พี่ว่า เหนือสิ่งอื่นใด ความเข้าใจกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จะให้ผลดีในระยะยาวมากกว่า อย่างน้อย เราก็มีบ่ายที่ดีๆ เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน แทนที่จะเป็นบ่ายที่แย่ๆ เนอะ

ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ พี่มโนเองบางส่วน เค้าโครงเรื่องจริง อาจไม่ได้ดราม่าขนาดนี้..แค่เอาไว้เป็นตัวอย่างจ๊ะ 55555

ปล2. ถ้าพรุ่งนี้ น้อง 2 คน มาขอโทษที่สาด (อารมณ์) ใส่กัน หรือยิ้มให้กัน พี่ว่าก็คงดีนะ..ผู้ชายเค้าชกกันเสร็จ ก็จับมือกันได้นะ..เค้าให้เรามาทำงาน อย่ามีเรื่องส่วนตัวกันเลย พี่ขอ 555555

Posted in สัพเพเหระ

C.P. Customer & Direct4U

พี่เชื่อว่า ทุกคนเหนื่อยและเครียดไม่แพ้กัน

แต่พี่ก็เชื่อว่าความมุ่งมั่นและตั้งใจจะทำให้พวกเราประสบความสำเร็จ

เราอาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงมากนั้น แต่ขอให้เราได้ทำให้เต็มความสามารถของเรา เมื่อวันที่เรามองย้อนกลับมาจะได้มีความภูมิใจกับผลงานที่เราทำ

คนเราเรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดค่ะ อยู่ที่ใจของเรา

พี่เชื่อในใจที่สู้ของน้องทุกคน และพี่ภูมิใจกับผลงานที่เราร่วมกันทำในเวลา 40 วันที่ผ่านมานี้ เรามียอดขายงาน TA มากขึ้น เรามี Renewal Ratio ตามเป้าหมาย เรามีงานไปวางที่ Whizdom เรามี IVR,ใบเตือน, Line ID, email เรากำลังจะมีของพรีเมี่ยม มีแคมเปญ Friend GET Friends และอีกมากมาย

ขอให้อย่าท้อ และอย่ามองปัญหาเป็นอุปสรรค แต่มันคือ ประตูแห่งชัยชนะที่เราจะร่วมกันฝันฝ่าไปให้ได้

มีการวางระบบงานเพิ่มมากขึ้น กติกามากขึ้น โดนดุมากขึ้น แต่เพื่อให้เรายังมีวันที่หัวเราะเฮฮากันได้ดังมากขึ้น

พี่เร็วไปมาก จะพยายามผ่อนลง แต่น้องเอง ก็ต้องพยายามวิ่งมาจับมือพี่ให้ทัน แล้วเราจะเดินไปด้วยกันเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ

Posted in สัพเพเหระ

กวีวัยรุ่น by โอลิเวอร์

image

เช้านี้ อารมณ์ดี๊ดี เปิด facebook เจอบทกวีเริ่ดๆ เชิดๆ ของกวีวัยรุ่น

หลังจากได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ใน blog แล้ว ก็รีบเอามาลงให้อ่านกัน

จริงๆ ก่อนหน้านี้ คุณโอ๋ หรือ โอลิเวอร์แต่งกวีวัยรุ่นไว้ใน blog ของตัวเอง แต่ห่างหายไปนาน..

ไม่ใช่ อะไรนะคะ คุณโอ๋ง่วนกับการเขียนพอคเกตบุ๊คอยู่จริงๆ

ก่อนหน้านี้เคยเขียนชื่นชมพอคเกตบุ๊คที่ทำให้หน้าใสปิ๊งไปรอบนึงละ นี่ได้ยินแว่วๆ ว่ากำลังจะตีพิมพ์เล่มต่อๆ ไปอีก

ถ้าได้รับข่าวดีเมื่อไหร่จะรีบมาบอกต่อทันทีเลยค่ะ ^^

Posted in สัพเพเหระ

Dialogue in the dark

image

วันนี้มีโอกาสอันดีมากๆ ที่เพื่อนโอ๋ ณัฐวุฒิ ชักชวนให้ไปสัมผัสการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ไม่ได้ด้วยตา แต่ได้ด้วยจิตสัมผัสทั้ง 5

ระยะเวลาในการเรียนรู้ 1 ชั่วโมง 15 นาที เดินทางมาง่าย ที่ชั้น 4 จามจุรีสแควร์

เขียนประหนึ่งรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวเลยเชียว ^^

ตอนที่โอ๋ชวน บอกว่า เขาจะให้เราลองใช้ชีวิตแบบผู้พิการทางสายตา มีคนนำทางให้ เดินเข้าไปตามห้องต่างๆ โดยมีไม้เท้าคู่ใจ ฟังแล้วน่าสนใจ รีบตกปากรับคำไปเลยคนแรก

พอมาถึงจริงๆ ก็ตื่นเต้นกลัวเดินล้ม ชนของ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เดินไม่ยากอย่างที่คิด อาจไม่สะดวก คล่องแคล่ว รวดเร็ว แต่เดินได้อย่างปลอดภัย ถือว่าเขาดูแลได้ดีมาก

image

นายแบบของบล๊อก เพื่อนโอ๋ ต้องถอดแว่น ปิดตาบ้าง ลืมตาบ้าง (ลืมตาอย่างไรก็มองไม่เห็นนะคะ มืดสนิทจริงๆ) มือถือไม้เท้า แกว่งระดับพื้นข้างหน้า ความกว้างเท่าระยะไหล่ตัวเอง มืออีกข้าง คอยจับกำแพงด้านข้าง สลับซ้ายบ้าง ขวาบ้าง

ตื่นเต้นตอนที่บอกเดินตามเสียงผมมาครับ แล้วก็ปรบมือ หรือเคาะให้สัญญานโดยไกด์ซึ่งเป็นผู้พิการ
ทางสายตา อันนี้ เรียกไม่มีกำแพงให้เกาะ 5555

ถ้าเราเดินช้ามาก ตามเพื่อนไม่ทัน ไกด์ก็จะเรียกชื่อแล้วมาจูงเราไป

มีทั้งหาที่นั่ง เดินเลาะรั้วทั้งรั้วไม้ไผ่ รั้วอัลลอย พื้นปูน พื้นพรม พื้นหญ้า ไปเดินในตลาด
ผ่านร้านขายเสื้อผ้า จับๆ ไป ไม่รู้หรอกว่า สวยมั้ย รู้ว่า แขวนๆ ไว้บนไม้แขวน แหม และไอ้ก้านๆ ระดับเอว ที่ร้านขายเสื้อผ้าชอบแขวนยื่นออกมา นี่มันเกะกะทางเดินชั้นเสียจริง 5555

พอผ่านมาถึงแผงผักสด ผลไม้สด ต้องหยิบมาดมๆ คลำๆ เพื่อนโอ๋ก็น่ารักมาก ดมกลิ่นอะไรเสร็จ ก็จะส่งให้ บอกว่า “เอาไปดมสิ นี่แครอท” ทุกคนก็จะส่งเสียง สลับกันไป เจออะไร บ่นอะไร ก็ฟังๆ กันไป เพลินดี

เดินไปถึงร้านของชำ ก็มีแป้งเด็ก ครีม แชมพู แปรงสีฟัน ให้ผลัดกันดม แล้วก็เลาะรั้วต้นไม้ ชนิดต่างๆ ใบหยาบ ใบเล็ก ใบใหญ่ ก้มลงจับเจอดิน เจอพื้นหญ้า

image

พี่องคนสวย ใจดี ก็คอยจับมือ จับแขน จับก้นเราไปตลอดทาง ให้รู้ว่าอยู่ใกล้กัน..
แกล้งถามพี่องว่า ที่จับนมนี่ใช่พี่หรือเปล่า รีบบอกทันทีว่า เดี้ยนเปล่า 55555

เดินมาถึงป้ายรถเมล์ มีพี่คนขับรถพาเราขึ้นนั่งบนรถตุ๊กๆ ออกตัว ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ได้กรี้ดกันสนุกๆ ชอบตอนฝนตก ฟ้าร้อง เปียกนิดหน่อย ^^

แต่เราประทับใจที่สุด คือ ห้องฟังดนตรี ที่เปลี่ยนจังหวะดนตรีไปเรื่อยๆ ได้สัมผัสด้วยตัวเองวันนี้ ว่าเพลงช่างไพเราะจริงๆ ยามหลับตา..รู้ตัวว่า ยิ้มอย่างมีความสุขในความมืด ^____^

มีมุมนึงที่ให้เราลูบรูปปั้น แล้วทายว่าเป็นรูปปั้นอะไร พี่องทายได้หมดอ่ะ หรือเพราะความที่เธอเป็นอาร์ตตัวแม่..สงสัยๆ

แล้วเราก็ได้ผ่านมาที่ผับ ที่นี่เราได้เลือกซื้อขนม น้ำดื่ม จ่ายจริง กินจริง หยิบเหรียญ หยิบแบงค์กันสนุกดี..ได้เดินมานั่งคุย
มุมนึงในผับ ให้เวลาเราซักถามไกด์ของเราเรื่องต่างๆ

มีความเข้าใจมากขึ้น ว่าแม้ในที่มืดเขาจะคล่องแคล่วกว่าเรา แต่พอออกมาด้านนอก เขาต้องการความช่วยเหลือจากคนตาดีอย่างเรา

เวลาเจอพวกเขาตามป้ายรถเมล์ ช่วยถามเขาทีว่า จะไปที่ไหน ขึ้นรถสายอะไร คอยบอกเขาด้วย ถ้าเราต้องไปก่อน ก็ให้ฝากฝังเขาต่อที

ตามร้านค้าก็ช่วยหยิบของให้เขาที เดี๋ยวเขาชนของหล่นมา ต้องเสียค่าปรับอีก

นี่คือ ที่ช่วยได้เล็กๆ น้อยๆ ภาพใหญ่คงต้องให้ภาครัฐ บริษัท สนับสนุนอาชีพ สวัสดิการ รายได้ที่มั่นคง

ได้เรียนรู้ว่า โอกาสเรามีมากกว่า ต้องรู้จักแบ่งปัน ดูแลเพื่อนผู้พิการในสังคม ได้สัมผัสที่ไม่ใช้สายตา ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และจิตใจ ^^

ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่มีค่า ทั้งเพื่อนโอ๋และพี่อง ♥☆

Posted in สัพเพเหระ

ตัวจิแตกแว้ววว 55555

image

ก่อนจะกลับมาอยู่อลิอันซ์ ซี.พี. รู้ตัวอยู่แล้วว่าน้ำหนักตัวต้องขึ้นมากมายมหาศาลแน่นอน แต่จะพยายามอั้นไว้ไม่ให้เกิน 2 กก. นะ บอกตัวเองทุกวัน

เมื่อ 5 เดือนที่แล้วที่ออกไป นน. ตัวลงฮวบเดียว 5 กก. ภายใน 1 เดือน แล้วก็คงที่ พอได้พักร้อน 2 อาทิตย์ นน. ขึ้นมา 3 กก. แค่นี้คุณแม่ก็เบรกๆ แล้วว่า พี่อุ้มอย่าให้อ้วนกว่านี้นะ 555

เมื่อเช้าจะใส่กางเกงมาทำงานตัวเดิม…กรี้ดดด…ใส่ได้นะ แต่มันดูบาน แอนด์ บวมมาก..ต้องถึงกลับเปลี่ยนมาใส่กระโปรงทันที แล้ววันนี้ก็รวบผมครึ่งนึง พอขึ้นรถเปิดกระจก จะแต่งหน้า…จ้ากกก…ทำไมหน้ามันซาลาเปาอย่างงี้..ตายๆๆ บันจี้ ไม่แคล้ว พี่อิทธิ ต้องกลับมาเรียกยัยอวบอีกแน่ๆ เลย T T

นอกจาก นน. ที่ปรับขึ้นมาแล้ว ความบวมบนใบหน้าก็มาจาก ระยะเวลาที่ได้นอนหลับยาวขึ้น เดี๋ยวนี้พยายามเข้านอนพร้อมน้องเอิร์ธ จะได้กอดกันกลมและหอมกันก่อนนอน ตื่นเช้าขึ้นก็จริง แต่รวมๆ แล้ว ได้นอนวันละ 7 ชม.
อิ่มเอม บวมเป่งมาก

ตอนนี้ น้องเอิร์ธยังไม่ให้คุณแม่ไปส่งทุกวัน บอกว่าผลัดกันคนละวันกับคุณพ่อก่อน เหมือนอยู่ในช่วงทดลองงาน..เมื่อวานไปส่งน้องเอิร์ธวันแรก เช้ามาคุณพ่อทำอาหารเช้าให้แม่เป็นพิเศษ ทำให้ออกจากบ้านช้ากว่าปกติ แล้วเจอฝนตก รถติด แต่ได้กอด หอมลูก ทุกครั้งที่จอดเพราะรถติด มีความสุขดีจัง..พอมาถึง น้องเอิร์ธบอกว่า ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เหล่าซือบอกว่า มาสายได้ ถ้ารถติด เราทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนก็ได้ครับ
ปาเข้าไป 9 โมง ถึงไปส่งที่ห้องเรียน แต่ไม่เห็นเหล่าซือจะใจดีอย่างที่บอกเลยลูก 5555

ตัวจะแตกอีกอย่าง ก็เพราะ scope งานที่ใหญ่กว่าครั้งก่อน 3 เท่า แต่มีทีมมาช่วย ไม่ต้องสอนงาน เพราะทั้งเบตและงา เชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองรับผิดชอบอยู่แล้ว เนื้องานน่าสนใจมาก ขอบเขตกว้างมากมาย มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ..

น้องๆ ถาม พี่อุ้มจะไหวไหม..ก็หัวเราะ แล้วบอกไปว่า ไหวสิ..เอาจริงๆ ไม่ได้หนักใจเลย เพราะเชื่อในฝีมือของทีม และที่สำคัญ 2 คนนี้ต่างกันมาก ความถนัดกับประสบการณ์ก็ต่างกัน แต่ถ้าความต่างของ 2 คนนี้มาร้อยเข้าด้วยกันได้ มันจะเป็นอะไรที่สวยงามมากเลย..ทำให้เราตื่นเต้นกับตรงนี้มากกว่าอีก 55555

สัญญานที่ดี ก็คือ ทั้ง 2 คน ต่างชื่นชมในสิ่งที่มีของอีกคนเพื่อเติมสิ่งที่ขาด
ของตน..เราเชื่อเสมอว่า ตราบใดที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นในความสำเร็จของงาน ของคนที่เราต้องทำงานด้วย และที่สำคัญคือการเชื่อมั่นในตัวเองให้มากๆ ผลงานมันจะออกมาดีเอง..

ตัวจะแตกเรื่องงาน ก็แตกไป แต่คราวนี้ แตกแบบพลุที่สวยงาม มีความรื่นรมย์ในการทำงานเป็นระยะๆ

น้องๆ ก๊วนเก่าที่นี่ดีใจ ที่มาทำงานวันแรก ก็ทำให้พี่อุ้มหัวเราะไร้สติได้อีก..บวกกับรอยยิ้ม ของเอิร์ธทั้งเช้า เราก็อิ่มเอมมากแล้วในตอนนี้
ค่อยๆ เดิน ช้าๆ บ้าง ถึงจุดหมายเหมือนกัน แต่ได้ความรื่นรมย์ในชีวิตต่างกันสิ้นเชิง 😉

Posted in สัพเพเหระ

ศัตรูที่มองไม่เห็น

image

ข้อดีและข้อเสียในตัวเรา ข้อนึง คือ การไม่พูดโกหก และเกลียดคนโกหกมาก ทำให้หลายครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่การพูดความจริง อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า เราจะเลี่ยงด้วยการไม่ตอบคำถาม ทำหูบอดไปซะเฉยๆ รึไม่ก็ยิ้มเพื่อจบคำถาม 5555

ช่วงนี้คนถามบ่อยจัง เรื่องย้ายงาน เราตอบคนไปนับได้ 10 คนรอบตัวเรา ด้วยเหตุผลเดิมๆ เหตุผลเดียวกัน ตอบเฉพาะคนสนิท ที่เรารู้ว่าเค้าห่วงหาอาทรเราจริงๆ

แต่ที่น่าตกใจกว่า คือ กลุ่มคนที่ไม่เคยได้พูดคุย ได้ถาม ได้ตอบ กลับสามารถพูดเรื่องของเราได้ทั้งวัน ทุกวัน คิดกันไปเอง..สมัยนี้ ใช้คำว่า มโนไปเอง 555
บอกต่อๆ กันไป ให้มันครึกโครมฮือฮามาก ขนาดปิดหูปิดตาตัวเองแล้ว ก็ยังได้ยินเป็นระยะๆ

รู้สึกเบื่อหน่ายปนท้อนิดหน่อย แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ และไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำ ก็ได้แต่เฉยซะ..อย่างมาก ก็แค่เตือนคนฟังว่า อย่าฟังสิ่งที่ไม่ได้ยินกับหู อย่าเชื่อสิ่งที่ไม่ได้เห็นกับตา

งานนี้ บอกได้คำเดียวว่า เข็ด และเลิกพูด เลิกแสดงความคิดเห็น ในทุกๆ สื่อ เพราะศัตรูที่มองไม่เห็น สามารถหยิบเรื่องนู้นมาต่อเรื่องนี้ ปั่นเรื่อง ได้สารพัด..

เขียนบล๊อกนี้ ก็คงไม่พ้นมีกระแสออกมาอีก 5555
แต่ตั้งใจตั้งชื่อเรื่องแบบนี้เพื่อ เรียกแขก..

เพียงแค่อยากบอกตอนท้ายสั้นๆ ว่า…
“โกหก พูดปด มันบาปนะคุณ”

จบค่ะ 555555

Posted in สัพเพเหระ

งานใหม่ ใจใหญ่กว่าเดิม

ตั้งแต่เปลี่ยนงานใหม่มาหลังสงกรานต์ ยังไม่สงบนิ่งพอที่จะเขียนบล๊อก จนวันนี้ อยู่บ้านที่เชียงราย ได้อยู่กับตัวเองบ้าง

ตอนที่รู้ว่า ทูนมาซื้อกิจการโอสถสภาประกันภัย ตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อน ว่าจะมาซื้อบริษัทประกันภัยในประเทศไทย ก็ดีใจว่า ในที่สุดดีลที่เคยคุยกันไว้นานมากแล้ว ก็มาถึงสักที

ตกลงกันไว้ว่า จะรับผิดชอบงานด้าน Sales Management ทั้งหมด นั่นรวมถึง underwriting, product development & reinsurance คือ ทุกอย่างที่จะสนับสนุนให้ sales ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว

และตกลงกันไว้อีกอย่างว่า ช่วง 6 เดือนแรก จะทำทุกอย่าง ในฐานะผู้ช่วยคุณปีเตอร์ เพื่อจัดตั้ง Tune Thailand

มีข้อแม้จากเรา 3 ข้อ คือ 1. ขอทีมงานตามมาทันที 3 คน ดูแลด้าน product development & reinsurance 2. ขอสังกัด TIH ที่มาเลเซีย เพราะตั้งใจไว้ว่าจะทำงานระดับ regional ไม่ได้อยากทำ local เพราะทำมา 17 ปีละ 3. ขอทำงานในเมือง เพราะลูกเรียนในเมือง เดินทางไปกลับรามคำแหงไม่ไหว

ทาง Tune ก็กลับไปคิด 1 อาทิตย์ ก็ได้ทุกอย่างตามที่ขอ

พอมาเริ่มงาน ก็สนุกสนานมาก ได้ทำทุกอย่างจริงๆ บรรยากาศการทำงานกับเจ้านายใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่เป็นกันเองมาก เค้าสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กรได้ดี สนุกสนาน มี greeting message ด้วยรูป selfie แล้วแต่คนอยากสวย มี yammer page ที่ใช้ post อัพเดต อารมณ์ประมาณ facebook ภายใน แซวกันขำๆ และอัพเดตงานใหม่ๆ ที่ขยายได้..สร้างแรงกดดันกันไป 55555

แล้วก็ได้ทำทุกอย่างจริงๆ ตั้งกะเลือกห้องที่เมอคิวรี่ จัดโต๊ะ ซื้อแลปทอปที่พันธุ์ทิพย์ไปมา 3 รอบ ซื้อปรินเตอร์ ซื้ออุปกรณ์สำนักงานให้ลูกน้องตัวเอง

ไปพบลูกค้ารายใหญ่ ทำข้อเสนอ และต้องจูนกับสไตล์นายใหม่ ซึ่งเก่งมาก นับถือสุดๆ ยังไม่เคยเจอนายคนไหนที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ใน 1 อีเมลที่นายส่งหาลูกค้า จะครบถ้วนถูกต้องขายของไปด้วยเสมอ เขียนได้ดี (รึเพราะเป็นคนอังกฤษ 55555) ไม่หรอก…คนอังกฤษถ้าไม่รู้ประกันรึไม่มี marketing mind ก็เขียนแบบนี้ไม่ได้ 😉

ตอนประชุม group management committee ประจำเดือน ก็จะได้เจอมาดเคร่งครึม ไล่ตัวเลข กับ action plans ก็ทึ่งดี ราคาหุ้นเป็นเรื่องที่พูดกันทุกวัน เจอนักลงทุนและสัมภาษณ์ออกสื่อตลอด ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี

เค้าไม่ถือตัวด้วย สิ่งแรกที่เค้าจะทำคือ ทลายกำแพงห้องออกให้หมด บรรยากาศในการทำงาน คือ open space/environment และเน้น DIY หรือ TIY คือ คิดเองทำเอง โตๆ กันแล้ว 55555 จะมาประชุมกัน เดินทางหลายคน ไม่มีการ fix เกาะกลุ่มกันว่าจะไปไฟลท์กี่โมง นอนที่ไหน นอนกับใคร..แล้วแต่จะคิด บริหารจัดการเอง นอนที่ที่ตัวเองชอบและสะดวก..เอาเป็นว่า ถึงเวลาประชุม มาให้ถึงเป็นพอ..ค่าใช้จ่ายก็ดูเองตามความเหมาะสม..ก็คล่องตัวดีนะ
นั่งๆ ทำงานกัน ก็ทยอยไปสนามบิน เพราะจองคนละไฟลท์ 555

เราทำงานหนักมาก เพราะเป็นทุกอย่างของที่นี่ ทาง TIH มีทีมงานเกือบ 10 ชีวิตที่มา set up แต่ติดเรื่องภาษา และไม่เข้าใจการทำงานบ้านเรา 10 เรื่องเลยมากระจุกที่เรา งานออกข้อเสนออีก recruit คนอีก

แถมเรื่องที่ต้องเรียกว่า นรกสัสสุด คือ คนที่มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ หาเรื่องพูดแต่เรื่องแย่ๆ ตลอดเวลา ไอ้ที่พูดถึงเราแย่ๆ เราไม่สนหรอก..เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจดี ทำดี สักวันต้องมีคนเห็น มีคนเข้าใจ
แต่ไอ้เรื่องที่ต้องสรรหามาให้พนักงานอีก 40 คน เป็นกังวล เครียด หวั่นไหว เป็นระยะๆ เนี่ยะจะทำไปเพื่อ!

การพูดคุยกับพนักงานทีละคน คนละ ครึ่งถึง 1 ชั่วโมง เพื่อรับฟังความวิตกกังวล การไม่เห็นด้วย การคิดไปก่อน พอผ่านไป เราพูดให้เค้าดีขึ้นได้ แต่คนที่รับฟังมาทั้งวัน ใช้พลังมาทั้งวัน มันเหนื่อย มันท้อมากนะ เพราะเราก็ไม่ได้ถูกฝึกมารับแบบนี้ทั้งวัน หลายๆ วัน หลายๆ รอบ ที่จะสรรหามาป่วน

เริ่มดาว์น เริ่มเครียด เริ่มเหนื่อย…

น้องในทีมที่พามาด้วย ก็จิตตก เชื่อว่าไม่มีใครไม่ท้อ ไม่ร้องไห้ เพราะอะไรก็มามะรุมมะตุ้มเต็มไปหมด แล้วยิ่งเห็นเรารับผิดชอบเยอะ แล้วเราทำไม่ไหว ทำจนล้น เอาไม่อยู่ ก็ไปกดดันตัวเองกันอีก ว่าช่วยเราไม่ได้ พาลจะถอดใจ

ต้องคุยกันทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 2 รอบ ตัวต่อตัวว่า น้องเอ๋ย ที่น้องทำอยู่ในหน้าที่รับผิดชอบตาม JD  ของตัวเองนั้นดีมากอยู่แล้ว พี่ขอแค่นี้จริงๆ แค่รับผิดชอบงานของตัวเองให้ดี ให้พี่หมดห่วง ส่วนอีกร้อยพันอย่างที่มันมารุมพี่อยู่ มันเป็นข้อตกลงของพี่ มันเป็นหน้าที่พี่ ที่พี่ต้องหาคนมาทำ ถ้าพี่ยังหาไม่ได้ พี่ก็ต้องทำไปก่อน..น้องเอาตัวเองให้รอดพอ…ส่วนพี่ อันนี้พี่ดูแลตัวเองเอง..ก็ดีขึ้น 😉

ประทับใจในความหวังดี อยากช่วยของน้อง…แต่คนเรามันซาดิสม์ไม่เท่ากัน 55555  ปล่อยพี่ไปเหอะ

แล้วทำ ๆ ไป วันนึงมีเมลมา เกือบ 200 ฉบับ ทำงานตลอด ขับรถก็ตอบเมล จะกิน จะนอน ก็ตอบเมล ไม่มีเวลาให้ลูก ให้ครอบครัว

ต้องขอบคุณคุณโอ๊ตที่ดูแลเราและลูกได้ดีมาก ซึ้งใจ รู้ว่าคุณโอ๊ตเหนื่อยและต้องกดดันจากที่ทำงาน เช้าก็ต้องไปส่งลูก บ่ายแก่ๆ ไปรับลูก สอนการบ้าน จะหมดแรงแล้ว พอเรากลับมา ก็คอยหาอาหารให้เรา อาหารที่เราอยากกินเวลากลับถึงบ้าน คือ มาม่า หรือโจ๊กคนอร์ไข่ลวก…น้องเอิร์ธก็จะไปชงน้ำหวานมาให้…ได้กินที ก็ร้องไห้..ซึ้งใจ และเสียใจที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สงสารลูก สงสารคุณโอ๊ต…

แล้วมาเจอกับการเสียชีวิตกระทันหันของเพื่อน 2 คน ที่มุ่งมั่นทำงาน และประสบความสำเร็จมาก จากไปด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจติดขัด และจากไปโดยไม่มีการได้ร่ำลา ก็ยิ่งกลัว..

บอกตรงๆ กลัวตาย..กลัวที่จะตายก่อนวัยอันสมควร ยังห่วงลูก ยังห่วงสามี ห่วงพ่อแม่..ยิ่งคิดยิ่งเครียด ยิ่งเศร้า ผ่านไป 3 สัปดาห์กับอาการเครียด จิตตก
จนไปงานสวดเพื่อน ได้นั่งฟังพระเทศน์ ได้คิดใหม่ว่า ในเมื่อสิ่งสำคัญสำหรับเราคือ ครอบครัว คือตัวเราที่ต้องดูแล ต้องจัดระเบียบชีวิตใหม่ ทำงานให้พอดีๆ นายบอกว่า นอนให้เยอะๆ หน่อย ให้ดูอย่างผม ผมนอน 5 ทุ่ม ตื่น 7 โมงทุกวัน ออกไปวิ่งบ้าง พักให้เยอะๆ ดูแลตัวเอง เพราะผมต้องการอุ้มในระยะยาว 😉 ขอบคุณมากค่ะ

ได้ปรับชีวิตใหม่อีกครั้ง ไปคลาสโยคะที่ทิ้งมา 3 เดือน มีความสุข สดชื่นมาก ได้รับลูกต่อจากคุณสามี ขับรถกลับบ้านด้วยกัน เดินห้างด้วยกัน ได้กลับมากอดพ่อและแม่ที่เชียงราย มาฉลองวันเกิดให้แม่ ให้พ่อกับแม่ชื่นใจ

เชื่อว่า ต่อจากนี้ อะไรคงดีขึ้น มีทีมจะเข้ามาเพิ่มสิ้นเดือนนี้อีก 4 คน..เราจะไปได้ดี เราเชื่ออย่างนั้น..กับความร่วมมือของคนอีก 40 คน ที่จะประคับประคองกันไป…เวลาเจอคนที่โอสถ เค้าจะบอกว่า อดทนหน่อยนะ รู้ว่าเหนื่อย อะไรก็มากระจุกที่นี่หมดเลย พักผ่อนบ้างนะ มีอะไรให้ช่วยบอก..ก็อดดีใจไม่ได้..ขอบคุณมากนะคะทุกคน ^____^

image

Posted in สัพเพเหระ

การเดินทางครั้งต่อไป

image

อุ้มตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยครั้ง และเป็นคนรักการผจญภัย ชอบทำอะไรใหม่ๆ ชอบที่จะเรียนรู้ เหนือสิ่งอื่นใด เป็นคนซาดิสม์กับการทำงานมาก คิดและพูดกับคุณโอ๊ตเมื่อเช้าว่า “ถ้าไม่เหนื่อยตอนนี้ จะให้ไปเหนื่อยตอนไหน” พอๆ กับที่ถามลูก เมื่อวานนี้ว่า “เอิร์ธว่าคุณแม่ทำงานหนักมั้ยครับ” น้องเอิร์ธวิ่งไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษ A4 มาเขียนขยุกขยิก แล้ววางไว้ที่หลังแม่..ไม่รู้ว่า นี่คืออาการแบกรึเปล่านะลูก 555 เขียนไว้สั้นๆ แค่ว่า “หนักครับ”

ทุกคนมีความฝัน และฝันของอุ้มก็จะเป็นจริงแล้ว รู้อยู่ว่า ทางเดินที่เลือกทั้งเหนื่อยและหนัก แต่ถ้าไม่ได้ทำวันนี้ คงเสียใจไปตลอด

มีเพื่อนที่มีประสบการณ์ตรง เตือนด้วยความหวังดีว่า
“เตรียมตัวสำหรับหนทางที่ลุ่มๆ ดอนๆ และอุปสรรคภายในให้ดี มันจะหนักหนามาก แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดี ที่เชื่อว่าเราจะผ่านไปได้”

แม่ในวงการ บอกว่า ไม่รู้จะมั่นคงถาวรมั้ย “แต่จะกลัวอะไร ถ้าถึงตอนนั้น เราก็คงขยับขยายไม่ลำบากไม่ใช่หรือ”

ซึ้งใจกว่านั้น ที่น้องรักที่สุด ยอมสละเรือ เพียงเพราะเห็นพี่สาวเป็นห่วง ไม่ยอมเดินตามฝัน ตัดช่องน้อย ชิงลาออกซะก่อน พี่จะได้ไม่มีห่วงอีกต่อ ไป ถามว่า “ทำไมไม่ไปด้วยกัน ไปช่วยพี่” น้องบอกว่า “เฟอร์ก็มีความฝัน และถ้าไปด้วยกัน เฟอร์จะทำให้พี่เป็นห่วง” ซึ้งใจ ร้องไห้..กว่าจะเข้าใจเหตุผล พี่ก็โกรธน้องไปหลายวัน ที่จู่ๆ ก็ลาออกไม่มีวี่แวว

น้องอีกคน ให้กำลังใจที่ดี ด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงแค่ “ขอให้มีพี่เป็นแม่ทัพ หนูยังไงก็ได้” แพคเกจไม่สน ทำอะไรก็ได้ ขอบใจนะน้อง ทำให้พี่รู้ว่า พี่มีทีมที่รักและพร้อมสนับสนุนพี่มากแค่ไหน

มีน้องที่จะติดตามมาอีกบางส่วน ใจเย็นๆ นะ พี่ขอไปจัดการ set up ให้มันดี สำหรับน้องๆ ก่อน

พี่รับรอง ไม่ว่า หนทางข้างหน้า จะหนักหนาเพียงไร น้องของพี่จะได้รับการปกป้องและดูแลอย่างดี ตราบเท่าที่พี่คนนี้จะยืดหยัดเพื่อน้องได้..
ปีกของพี่จะมีไว้เพื่อปกป้องน้องค่ะ

ขอบคุณนะคะ ทุกคน ^^